เมนูนำทาง
โลกาภิวัตน์ ฝ่ายสนับสนุนวัฒนธรรม (วัฒนธรรมนิยม)
ผู้สนับสนุนการค้าเสรีอ้างว่า การเพิ่มความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจรวมทั้งโอกาส โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ได้ช่วยส่งเสริมให้เสรีภาพของพลเมืองดีขึ้นและนำไปสู่การกระจายทรัพยากรที่ดีขึ้น ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์เรื่อง “ข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” ( comparative advantage) ชี้ให้เห็นว่าการค้าเสรีนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการกระจายทรัพยากรที่ทุกประเทศได้รับประโยชน์จากการค้า ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้ราคาสินค้าลดลง มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ผลผลิตสูงขึ้นและมาตรฐานการดำรงชีวิตในประเทศกำลังพัฒนาดีขึ้น.[7][8]
| ||
– Jeffrey D. Sachs |
ฝ่ายอิสรนิยม ( Libertarians) และฝ่ายสนับสนุนระบบทุนแบบเสรีนิยม ( laissez-faire capitalism]) กล่าวว่าระดับที่สูงขึ้นของเสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพทางเศรษฐกิจในระบบประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนาจบลงได้ในตัวเองและสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้ในระดับสูงกว่า พวกเขามองโลกาภิวัตน์ว่าเป็นการกระจายตัวของเสรีภาพและระบบทุนนิยม [7]
ฝ่ายสนับสนุนโลกาภิวัตน์แบบประชาธิปไตยในบางครั้งถูกเรียกว่า “pro-globalists” หรือนักโลกาภิวัตน์พวกนี้เชื่อว่าโลกาภิวัตน์ช่วงแรกซึ่งเน้นการตลาดควรตามาด้วยขั้นการสร้างสถาบันทางการเมืองรับโลกที่เป็นตัวแทนประชากรโลก ที่แตกต่างกับโลกาภิวัตน์อื่นๆ ตรงที่ไม่มีการบ่งชี้คตินิยมหรืออุดมการณ์ใดๆ ล่วงหน้าเป็นการนำทาง แต่จะปล่อยในประชาคมโลกเลือกเอาเองผ่านกระบวนการประชาธิปไตย [ต้องการอ้างอิง].
บางคน เช่นสมาชิกวุฒิสภาแคนาดาคือ ดักลาส โรช มองโลกาภิวัตน์อย่างง่ายๆ ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งสถาบัน เช่น สภาสหประชาชาติ ที่ได้สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเพื่อทำหน้าที่ดูแลสมาชิกสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้วโดยตรง
ฝ่ายสนับสนุนโลกาภิวัตน์อ้างเหตุผลสนับสนุนว่า ขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์ใช้หลักฐานเล็กๆ น้อยๆ หรือเกร็ด[ต้องการอ้างอิง] มาใช้ในการปกป้องมุมมองของตนในขณะที่สถิติที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกสนับสนุนโลกาภิวัตน์:
ด้วยการยกระดับทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเป็นอย่างมากและรวดเร็วได้ทำให้กำแพงที่ขวางกั้นการค้าและการลงทุนลดลงเป็นอย่างมากด้วย แต่กระนั้น นักวิจารณ์บางคนก็ยังอ้างเหตุผลว่า ควรนำตัวแปรที่มีรายละเอียดมากกว่านี้มาวัดความยากจนแทนการใช้เพียงตัวเลขธนาคารโลก [10].
พื้นที่ | ประชากร | 2524 | 2527 | 2530 | 2533 | 2536 | 2539 | 2542 | 2545 | ร้อยละที่เปลี่ยนระหว่าง 2524-2545 |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก | น้อยกว่า $1 ต่อวัน | 57.7% | 38.9% | 28.0% | 29.6% | 24.9% | 16.6% | 15.7% | 11.1% | -80.76% |
น้อยกว่า $2 ต่อวัน | 84.8% | 76.6% | 67.7% | 69.9% | 64.8% | 53.3% | 50.3% | 40.7% | -52.00% | |
ละตินอเมริกา | น้อยกว่า $1 ต่อวัน | 9.7% | 11.8% | 10.9% | 11.3% | 11.3% | 10.7% | 10.5% | 8.9% | -8.25% |
น้อยกว่า $2 ต่อวัน | 29.6% | 30.4% | 27.8% | 28.4% | 29.5% | 24.1% | 25.1% | 23.4% | -29.94% | |
แอฟริกาแถบใต้ซะฮารา | น้อยกว่า $1 ต่อวัน | 41.6% | 46.3% | 46.8% | 44.6% | 44.0% | 45.6% | 45.7% | 44.0% | +5.77% |
น้อยกว่า $2 ต่อวัน | 73.3% | 76.1% | 76.1% | 75.0% | 74.6% | 75.1% | 76.1% | 74.9% | +2.18% |
'ที่มา: ธนาคารโลก, การประมาณความยากจน, 2545[8]
แม้นักวิจารณ์จะบ่นว่าโลกาภิวัตน์เป็นต้นเหตุของการกลายเป็นตะวันตกก็ตาม รายงานของ ยูเนสโกเมื่อ พ.ศ. 2548 [19] แสดงให้เห็นว่าการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเป็นปรากฏการณ์ร่วมกัน ใน พ.ศ. 2545 จีนเป็นประเทศส่งออกสินค้าวัฒนธรรมใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ระหว่าง พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2545 ทั้งอเมริกาเหนือและสหภาพยุโรปต่างมีอัตราการส่งออกวัฒนธรรมที่ลดลง ในขณะที่การส่งออกวัฒนธรรมของเอเชียเจริญเติบโตล้ำหน้าอเมริกาเหนือ
ลานชุมนุมสังคมนานาชาติ (International Social Forums)
ดูบทความหลัก: (European Social Forum) (en:Asian Social Forumฅ Asian Social Forum)( World Social Forum) (WSF)
การประชุมสาธารณะสังคมโลก (WSF) ครั้งแรกเริ่มโดยคณะผู้บริการนครปอร์โตอัลเกร ประเทศบราซิล
คำขวัญที่ใช้ในการประชุมสาธารณะสังคมโลก คือ “อีกโลกหนึ่งก็เป็นไปได้” (Another World Is Possible) ซึ่งได้มีการรับรอง “กฎบัตรแห่งหลักการสังคมโลก” สำหรับใช้เป็นกรอบงานของการประชุมสาธารณะในครั้งต่อๆ ไป
การประชุม WSF กลายเป็นการประชุมที่มีวาระรายปี ใน พ.ศ. 2545 และ พ.ศ. 2546 ได้ประชุมที่เดิมคือที่นครปอร์โตอัลเกร และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อต้านสหรัฐไปทั่วโลกในการรุกรานอิรัก ใน พ.ศ. 2547 ได้ย้ายที่ประชุมไปที่บอมเบย์ ในอินเดียเพื่อความสะดวกในการเดินทางมาร่วมประชุมของประชาชนเอเซียและแอฟริกา การประชุมครั้งนั้นมีผู้แทนเข้าร่วมประชุมมากถึง 75,000 คน
ในขณะเดียวกัน การประชุมสาธารณะในระดับภูมิภาคได้เกิดตามตัวอย่างของ WSF ได้รับเอากฎบัตรแห่งหลักการ” มาใช้ด้วย การประชุมสาธารณะสังคมยุโรป (ESF) เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2445 ที่เมืองฟลอเรนซ์ โดยใช้คำขวัญว่า “ต่อต้านสงคราม ต่อต้านการแบ่งเชื้อชาติและต่อต้านเสรีนิยมแนวใหม่" มีผู้แทนเข้าร่วมประชุม 60,000 คนและจบด้วยการประท้วงสงครามที่มีขนาดใหญ่มาก (ผู้จัดประชุมอ้างว่ามีผู้ร่วมประท้วงมากถึง 1,000,000 คน) การประชุมครั้งต่อมาของ ESF มีขึ้นที่ปารีสและลอนดอนเมื่อ พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2548 ตามลำดับ
เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการถกเถียงเกี่ยวกับเบื้องหลังของบทบาทของการประชุมสังคมฯ บางคนเห็นว่าเป็น “มหาวิทยาลัยยอดนิยม” เป็นโอกาสที่จะให้ประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาของโลกาภิวัตน์ อีกหลายคนเห็นว่าผู้แทนที่เข้าประชุมควรเน้นในการประสานงานและการจัดรูปองค์การของขบวนการและวางแผนการรณรงค์ครั้งต่อๆ ไปมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้อ้างเหตุผลมาโต้ว่า สำหรับประเทศใหญ่ๆ ทั้งหลายในโลกมองว่า WSF เป็นเพียง “งานหมกรรมเอ็นจีโอ” ที่ผลักดันโดยเอ็นจีโอฝ่ายเหนือและผู้บริจาคซึ่งทั้งหมดเป็นปฏิปักษ์ต่อขบวนการคนจน [20]
เมนูนำทาง
โลกาภิวัตน์ ฝ่ายสนับสนุนวัฒนธรรม (วัฒนธรรมนิยม)ใกล้เคียง
โลกาภิวัตน์ โลกสภา โลกาวินาศ โลกา (ช่องโทรทัศน์) โลกาวินาศศาสตร์แหล่งที่มา
WikiPedia: โลกาภิวัตน์ http://www.caei.com.ar/en/home.htm http://www.forumsocialmundial.org.br/index.php?cd_... http://www3.fis.utoronto.ca/research/iprp/c3n/CI/D... http://convention.allacademic.com/asa2003/view_pap... http://www.gavinkitching.com/africa_3.htm http://www.nytimes.com/2007/01/25/business/25scene... http://www.oxfordleadership.com/DataFiles/homePage... http://www.pastor-russell.com/legacy/giants.html http://reason.com/news/show/34961.html http://www.sciencedirect.com/science?_ob=ArticleUR...